
ในช่วงต้นเรื่องนั้นเราจะได้เห็นแต่สการ์เลตพยายามออกล่าตามหาเหยื่อ ซึ่งมีฉากหนึ่งที่ถือได้ว่าค่อนข้างคุกคามและน่าหวาดกลัวมาก (ทั้งที่ฉากดังกล่าวแทบไม่ปรากฏความรุนแรงใดๆเลยก็ตาม) มันเป็นฉากที่เอเลี่ยนสาวตัวนี้เดินไปที่ริมชายทะเล ระหว่างที่เธอกำลังปราดตามองหานักโต้คลื่นอยู่นั้น ด้านซ้ายของจอภาพก็เกิดเหตุการณ์ที่ผู้หญิงคนหนึ่งพยายามจะว่ายน้ำออกไปช่วยหมาของตัวเองที่โดนคลื่นหอบออกทะเลไป ด้วยความทุลักทุเลที่เกิดขึ้นนั้น พฤติกรรมที่เธอทำคือการ “เฝ้ามอง” ว่ามนุษย์นั้นแก้ปัญหาอย่างไร ชั่วครู่อึดใจ สามีของผู้หญิงคนนั้นก็กระโจนลงน้ำตามไปช่วยเธอโดยทิ้งลูกวัย 2 ขวบเอาไว้ที่ชายหาด แต่ดูเหมือนจะไม่ทันเวลา กลายเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องทำให้นักโต้คลื่นรีบว่ายไปช่วยเขา (ซึ่งสภาพคลื่นที่รุนแรงขนาดนั้นเป็นผลทำให้เขาสำลักน้ำจนต้องมานอนเกยที่ชายฝั่ง) ประกอบกับจังหวะที่พอเหมาะพอดี เอเลี่ยนสาวจึงใช้ก้อนหินฟาดที่หัวเขาไปหนึ่งทีแล้วก็ลากเขาออกมา โดยไม่สนใจเหตุการณ์ต่อเนื่องที่กำลังเกิดขึ้นแต่อย่างใด และที่น่าหวาดหวั่นคือหนังก็ตัดภาพหลังจากที่เธอจัดการ “ผู้ชาย” เสร็จแล้ว ด้วยการให้เอเลี่ยนชายในคราบนักซิ่งมอเตอร์ไซต์มาตามเก็บกวาดสถานที่เกิดเหตุ โดยที่เด็กแบเบาะลูกชายของสามีภรรยาที่จมน้ำตายก็ยังถูกปล่อยทิ้งไว้ท่ามกลางความมืดจนเหมือนโอกาสจะรอดชีวิตของเด็กผู้นี้ก็แทบจะเป็นศูนย์เช่นกัน
แต่แล้วเมื่อหนังเข้าสู่ช่วงท้ายหลังจากที่เอเลี่ยนสาวได้พบเข้ากับชายหนุ่มที่หน้าตาพิกลพิการหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว เธอกลับเริ่มสัมผัสได้ถึง “อะไรบางอย่าง” จนเธอเริ่มพยายามจะทำความเข้าใจกับมนุษย์ “ผู้ชาย” จนกระทั่งเธอได้พบกับชายคนหนึ่งที่พยายามจะช่วยเหลือเธอจากอาการตื่นกลัว (แต่ตัวเอเลี่ยนสาวน่าจะอยู่ในภาวะสับสนมากกว่า) เธอไม่สามารถปรับตัวได้ แต่เมื่อชายหนุ่มผู้ช่วยเหลือเธอคนนี้กลับดู “แตกต่าง” จากผู้ชายคนอื่นที่เหมือนจะดึงดูดเธอก็เพราะความรู้สึกทางเพศเป็นหลัก
เมื่อเธอพบผู้ชายที่ต่างออกไป เอเลี่ยนสาวก็เหมือนจะสัมผัสได้ถึงความห่วงหาระหว่างกัน และเมื่อถึงจุดที่ทั้งสองพยายามจะมีเพศสัมพันธ์กัน เธอกลับตกใจอย่างถึงขีดสุด เมื่อฝ่ายชายพยายามจะ “สอดใส่” อวัยวะเพศผ่านช่องคลอด จนเธอถึงกับกระโดดไปเอาโคมไฟมาส่อง (ซึ่งเป็นฉากที่ชวนเหวอที่สุดในเรื่องอีกเช่นกัน) ด้วยความตกใจ เธอจึงไม่สามารถคุมสติได้อยู่ จนต้องหนีออกมา
ยิ่งเอเลี่ยนสาวสัมผัสความเป็นมนุษย์ได้มากเพียงใด เธอยิ่งกลับค้นพบว่าด้านที่ “อ่อนโยน” ของมนุษย์เพศหญิงนั้น เป็นรองสภาพของผู้ชาย ซึ่งชะตากรรมที่เธอได้รับหลังจากแสดงถึงความ “เปราะบาง” ออกมาแล้ว เธอก็ได้รับผลตอบแทนที่แสนน่าเศร้าสลดใจ ซึ่งครึ่งเรื่องแรกกลับครึ่งหลังได้สร้างจุดเปรียบเทียบได้ชัดเจนในสภาวะ “ผู้ล่าและผู้ถูกล่า”
ไม่ว่า Under the Skin จะต้องการพูดถึงสิ่งที่อยู่ใต้ผิวหนังอย่างไรก็ตาม แต่สิ่งที่หนังทำให้เรารู้ก็คือความเป็นมนุษย์นั้นทำให้ สิ่งมีชีวิตสายพันธุ์อื่นเข้าถึง “ความอ่อนแอและหวาดกลัว” ในความไม่แน่นอนของชีวิต