
การดูหนังเรื่องนี้ทำให้เราตระหนักได้อย่างหนึ่งว่าการกำกับหนังทริลเลอร์มันยากแค่ไหน ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีชั้นเชิงได้เฉกเช่นอัลเฟรด ฮิตช์ค็อก
พล็อตหนังครึ่งแรกเป็นโทนลึกลับไม่น่าไว้วางใจ เล่าเรื่องของ ‘เจสซี่’ (Emily Mortimer) และ ‘รอย’ (Woody Harrelson) คู่รักชาวอเมริกันได้พบ ‘คาร์ลอส’ (Eduardo Noriega) และ ‘แอีบบี้’ (Kate Mara) คู่รักแปลกหน้าสองคนบนรถไฟสายจีน-มอสโคว์ ส่วนครึ่งหลังเป็นทริลเลอร์ลุ้นระทึกที่คู่รักชาวอเมริกันต้องเอาตัวรอดจากตำรวจรัสเซียก็คือ ‘กริงโก’ (Ben Kingsley)
ชอบที่หนังสร้างบรรยากาศรัสเซียให้ดูไม่น่าไว้วางใจเลยสักอย่าง เรื่องเล่าเกี่ยวกับตำรวจรัสเซียยิ่งส่งให้ความโหดของดินแดนนี้ทวีคูณขึ้นไปอีก แต่ก็นั่นแหละบรรยากาศดีแต่เนื้อเรื่องไม่ส่งให้เราสนุกไปกับมันเลย
ช่วงหนังที่เล่นความเป็น mystery ลึกลับเนี่ยยอมรับว่าทำออกมาได้น่าสนใจมาก มันกระตุ้นให้เราอยากรู้อยากเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น เช่นตอนที่ ‘รอย’ ตกรถไฟโดยภาพสุดท้ายที่คนดูรับรู้คือเขาอยู่กับ ‘คาร์ลอส’ มันชวนให้เราอยากรู้มาก ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเฉลยถึงกับเซ็งกับมุกที่หนังใช้พอสมควร เพราะกลายเป็นเขาตกรถไฟเพราะมัวไปดูเครื่องจักรรถไฟ คือทิ้งภรรยา ตกรถไฟเพียงเพราะหนังปูทางมาว่าเขาชอบรถไฟมาก ๆ เนี่ยนะ
ด้วยความที่ตัวละครในหนังมันมีไม่มาก แถมยังเปิดเรื่องภาพแก๊งค้ายาเสพติดฆ่ากันเอง และตลอดการเดินทางยังใส่ภาพการตรวจค้นยาเสพติดมาโดยตลอด จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้คนดูโฟกัสคนร้ายไปที่คู่รักแปลกหน้า แต่มันไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ความสนุกลดลงหรอกนะ เพราะหนังหลาย ๆ เรื่องก็เฉลยตัวร้ายตั้งแต่เริ่มแต่เรากลับสนุกเพราะลุ้นว่าเมื่อไรคนร้ายจะถูกจับได้ หรือบางครั้งยังเอาใจช่วยตัวร้ายด้วยซ้ำ แต่ไม่ใช่ใน Transsiberian แน่นอน
ช่วงท้ายหนังพยายามเล่นตามสูตรทริลเลอร์ทั้งหลายคือตัวละครเอกไร้ทางสู้ถูกไล่ล่าโดยคนร้ายที่มีอาวุธปืน ซึ่งผู้กำกับก็ได้ประเคนเทคนิคการทำทริลเลอร์มาใช้เต็มสูบ คนดูอย่างผมได้ลุ้นว่าจะหนีได้ไหม สรุปแล้วเป็นช่วงที่เหมือนจะดีแต่ก็จบลงอย่างรวดเร็ว
ตัวละครอย่าง ‘เจสซี่’ ยังสร้างความน่ารำคาญเป็นอย่างมาก การตัดสินใจของเธอมันพาหนังดิ่งลงเรื่อย ๆ เราเห็นความพยายามสร้างปมของผู้กำกับที่จะให้คนดูมองว่าเธอตัดสินใจเก็บความลับว่าเธอฆ่า ‘คาร์ลอส’ เอาไว้เพราะกลัวความผิด กลัวสามีโกรธที่เธอไปเที่ยวกับเขาสองต่อสอง กลัวกิตติศัพท์ของตำรวจรัสเซีย แต่เมื่อดูสิ่งที่เธอกำลังเผชิญและโอกาสต่าง ๆ ของเธอที่จะรอดข้อกล่าวหามันจึงเป็นอะไรที่น่าหงุดหงิดมากจนทำให้การดูช่วงท้ายเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ ยิ่งฉากที่เธอคิดว่าจะทำยังไงกับตุ๊กตา โอเค เธอกลัวตำรวจรัสเซีย เธอกลัวความผิดที่ฆ่าชายแปลกหน้า เธอจึงหาทางทิ้งตุ๊กตา แต่หนังกลับเขียนบทให้เธอทิ้งไม่สำเร็จแม้ว่าจะพยายามสักกี่ครั้งแล้วก็ตาม เช่นเดียวกับผู้กำกับที่พยายามทำให้อารมณ์หนังเป็นทริลเลอร์ลุ้นระทึกว่าเธอจะถูกจับได้หรือไม่นั่นแหละ
แน่นอนว่าการพยายามปูพื้นดราม่าความสัมพันธ์ระหว่าง ‘รอย’ กับ ‘เจสซี่’ ย่อมล้มเหลวไม่เป็นท่า หนังลงน้ำหนักปูมหลังของหญิงสาวว่าเคยเหลวแหลกมาก่อน แต่มาได้ดีเพราะเธอพบกับ ‘รอย’ ในขณะที่ ‘แอ๊บบี้’ ก็เหมือนกระจกส่องตัวเธอ เพียงแต่เธอพบคนเลวอย่าง ‘คาร์ลอส’ ทำให้ชีวิตไปในทางที่ผิด ดังนั้นฉากจบของหนังที่เธอได้โอกาสเริ่มต้นชีวิตใหม่ตามฝันจึงเหมือนจะสวยงามท่ามกลางหิมะขาวโพลนอยู่เหมือนกัน
จุดโหว่หลายจุด (เช่นรถไฟชนกันช่วงท้าย) พล็อตหนังที่ขาดความน่าเชื่อถือ การพยายามชวนให้ลุ้นระทึกแต่ไม่ประสบความสำเร็จ ทั้งหมดทำให้ Transsiberian สอบตกทั้งความเป็น thriller และ mystery แต่ก็ยังนับว่าเป็นความพยายามที่น่าสนใจและเชื่อว่าผู้กำกับยังมีโอกาสเอาดีด้านหนังแนวนี้ได้อยู่